เฟดขึ้นดอกเบี้ยสกัดความร้อนแรงนโยบายเศรษฐกิจ"ทรัมป์"
แบงก์ชาติสหรัฐฯ ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมรอบสุดท้ายของปีนี้ ที่น่าสนใจคือ ประธานเฟด พูดชัดจะปรับขึ้นอีกปีลละ 3 ครั้ง ใน 3 ปีข้างหน้า ซึ่งนักวิเคราะห์ มองว่า นอกจากจะประดับครองเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างเปราะบาง และอีกด้านหนึ่ง คือ สกัดกั้นความร้อนแรงนโยบายด้านเศรษฐกิจของทรัมป์
โดยการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ เป็นมติเอกฉันท์ครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ที่ให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% ส่งผลให้ดอกเบี้ยระยะสั้นปรับขึ้นจาก 0.25-0.50% มาเป็น 0.50-0.75% โดยให้เหตุผลการขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐเร่งตัวมากขึ้น ภาวะการจ้างงาน และตัวเลขการว่างงานอยู่ในเกณท์ดีตามเป้าหมาย และหลังสิ้นสุดการลงมติ ธนาคารในสหรัฐ ก็ทยอยประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยทันที เท่ากับหมดยุคเงินทุนราคาถูก
นอกจากนี้ ผลการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ที่ทำให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง มีผลให้แบงก์ชาติสหรัฐตกอยู่ภายใต้ภาวะความไม่แน่นอนสูง คณะกรรมการมีมุมมองที่สอดคล้องกันว่า เกิดความไม่แน่นอนสูงมากเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด และผลกระทบอะไรบ้างที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในอนาคต
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เห็นว่า การที่เฟดส่งสัญญาณว่าจะขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้าอีกประมาณ 3 ครั้ง เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจสหรัฐร้อนแรงจนเกินไป จากการใช้นโยบายเชิงรุกภาคการคลังของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ทั้ง การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการลดภาษี ในการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ ทำให้ภาคนโยบายการเงิน อย่างอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ต้องปรับเพิ่มขึ้น
สอดคล้องกับมุมมองของนายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ที่ระบุว่า นโยบายของทรัมพ์ ที่เน้นการเติบโตจากภายใน ซึ่งหากเศรษฐกิจฟื้นเร็ว จะก่อให้เกิดฟองสบู่เล็กๆ ธนาคารกลางสหรัฐฯ จึงมีถ้อยแถลงว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีหน้า แต่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพราะว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจไม่แข็งแกร่งอย่างที่คาด โดยส่วนตัวคิดว่า เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง