ศาลฎีกาจำคุก"สนธิ"20 ปี ปลอมเอกสารกู้ธนาคาร
ศาลฎีกา พิพากษายืนจำคุก นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นเวลา 20 ปี คดีทำเอกสารรายงานการประชุมเท็จ ค้ำประกันกู้เงินธนาคารกรุงไทยกว่าพันล้านบาท
นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการ เดินทางมาฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่อัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 1 ยื่นฟ้อง นายสนธิ พร้อมด้วย นายสุรเดช มุขยางกูร อดีตกรรมการบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด(มหาชน)นางสาวเสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ อดีตผู้บริหารแผนฟื้นฟู บริษัทแมเนเจอร์ฯ และ นางสาวยุพิน จันทนา อดีตกรรมการบริษัทแมเนเจอร์ฯ ฐานกระทำผิด พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535
จากกรณีเมื่อระหว่างวันที่ 29 เมษายน 2539 ถึง 31 มีนาคม 2540 จำเลยทั้ง 4 เป็นกรรมการบริษัท แมเนเจอร์ ฯ ได้ร่วมทำสำเนา รายงานการประชุมของกรรมการบริษัทที่เป็นเท็จว่า มีมติให้บริษัทเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน)ให้กับบริษัท เดอะเอ็ม กรุ๊ป จำกัด(มหาชน)ซึ่งนายสนธิ จำเลยที่ 1 ถือหุ้นอยู่ รวม 6 ครั้ง จำนวน 1,078 ล้านบาท โดยไม่ได้ขออนุมัติจากมติที่ประชุมกรรมการบริษัท และ ยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงบัญชีไม่ตรงกับความเป็นจริง โดยไม่ได้นำภาระการค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าวส่งให้ตลาดหลักทรัพย์ และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(กลต.)เพื่อลวงให้ผู้ถือหุ้น บริษัทแมเนเจอร์ฯ ขาดประโยชน์ที่ควรจะได้รับ รวมทั้งเป็นการลวงให้นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ไม่ได้รับรู้ถึงการค้ำประกันหนี้ดังกล่าว
คดีนี้ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 จำคุกนายสนธิ จำเลยที่ 1 และนางสาวเสาวลักษณ์ จำเลยที่ 3 คนละ 42 ปี 6 เดือน จำคุกนายสุรเดช จำเลยที่ 2 เป็นเวลา 2 ปี 6 เดือน ส่วนนางสาวยุพิน จำเลยที่ 4 แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงผิดแล้ว ให้จำคุกจำเลยที่ 1,3,4 สูงสุดตามกฎหมายมาตรา คนละ 20 ปี ต่อมาจำเลยที่ 1,3 และ 4 ยื่นอุทธรณ์ ส่วนนายสุรเดช จำเลยที่ 2 ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์คดีจึงถือที่สุดตามกฎหมาย รับโทษจำคุก 2 ปี 6 เดือน
ขณะที่ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาคดีนี้เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2557 โดยพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ศาลฎีกา ตรวจสำนวนประชุมแล้วเห็นว่า ที่จำเลยฎีกาว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำกรรมเดียวนั้น เห็นว่าการทำรายงานการประชุมเพียงหนึ่งครั้ง แต่นำไปค้ำประกันการกู้ยืมเงิน 6 ครั้ง ในวันเวลาที่แตกต่างกัน เป็นเวลา 1 ปี และ มีจำนวนเงินแต่ละครั้งไม่เท่ากัน ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ ศาลเห็นว่าบริษัทของจำเลยเข้าตลาดหลักทรัพย์ต้องมีหลักธรรมมาภิบาล หากกรรมการบริษัทกระทำผิดเสียเองย่อมสร้างผลกระทบต่อบริษัท ขณะที่การกระทำของจำเลยเป็นความผิดร้ายแรง ส่งผลกระทบจำนวนมาก ที่จำเลยอ้างถึงคุณงามความดียังไม่เพียงพอที่จะให้รอการลงโทษได้ ฏีกาจำเลยฟังไม่ขึ้นที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทรณ์พิพากษาลงโทษมานั้นชอบแล้ว พิพากษายืน
ภายหลังคำฟังคำพิพากษา นายสนธิ ได้โอบกอดให้กำลังใจจำเลยร่วม ก่อนที่นายสนธิจะออกมาโทรศัพท์แจ้งข่าวรายงาน จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้ควบคุมตัวทั้ง 3 คน มายังห้องควบคุมตัวใต้ถุนศาลเพื่อรอส่งตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลางต่อไป