จีน-รายงาน GDP เติบโตสูงสุดในรอบ 7 ปี
ทางการจีนออกมาเปิดเผยรายงานตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยระบุว่า ปีที่ผ่านมา (2560) เศรษฐกิจจีน เจริญเติบโตตลอดทั้งปี โดยสูงสุดถึง 6.9 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าในไตรมาสสุดท้าย จะลดลงมาอยู่ที่ 6.7 เปอร์เซ็นต์ จนทำให้มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP เฉลี่ยอยู่ที่ 6.8 เปอร์เซ็นต์ และยังคงสะท้อนอนาคตที่สดใสของเศรษฐกิจจีน ในปีนี้ (2561) อย่างต่อเนื่อง
โดยแนวโน้มการเติบโตที่เพิ่มขึ้น ถือเป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นครั้งแรก ในรอบ 7 ปี นับตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งปีนั้นถือเป็นจุดเปลี่ยนของเศรษฐกิจจีน เนื่องจาก สามารถฟื้นตัวสภาพคล่องทางเศรษฐกิจ จนทะยานขึ้นเป็นประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจ อันดับ 2 ของโลก เเทนที่ญี่ปุ่นได้ และมีอัตราการเติบโตเรื่อยมา จนกระทั่งปัจจุบัน ประสบความสำเร็จสูงสุด
รายงานจาก Bloomberg ชี้ว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเติบโต คือ ยอดค้าปลีกในประเทศที่เพิ่มขึ้น จนมีอัตราพุ่งสูงถึง 10.2% เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคมปี 2559 ด้านการผลิตในภาคอุตสาหกรรม อยู่ที่อัตรา 6.1% ซึ่งยังคงอัตรานี้มาจนถึงปัจจุบัน ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรนั้น เพิ่มขึ้นไปแตะที่อัตรา 7.1%
ขณะที่ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์จีน ชี้ด้วยว่า อัตราการเติบโตมีแนวโน้มที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อสภาพคล่อง ทางเศรษฐกิจของจีนในปีนี้อย่างแน่นอน และจะช่วยผลักดันให้ GDP ปีนี้ มีแนวโน้มสูงขึ้น รวมถึง เป็นผลดีต่อการเติบโตในภาคการส่งออก เพราะตัวเลขที่ออกมา ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ ให้ต่างประเทศมีความต้องการสินค้าและบริการของจีน เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
นับเป็นข่าวดีล่าสุด ที่สวนทางกับกระแสข่าวก่อนหน้านี้ ที่มีการเปิดเผยว่า กลุ่มเอเชียตะวันออก กำลังเผชิญความเสี่ยงทางการเงิน จากการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์บางราย แนะนำด้วยว่า หากจีนหันมาผลักดันด้านการพัฒนาเศรษฐกิจแนวใหม่ ที่เน้นความคิดสร้างสรรค์ และ การค้า-การลงทุน ประเภทออนไลน์ ไปพร้อมๆ กับเศรษฐกิจกระแสหลัก ก็จะยิ่งเสริมให้โครงสร้างเศรษฐกิจ มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น และเติบโตแบบก้าวกระโดด
ซึ่งปัจจุบัน ยังคงพบว่า กลุ่มความคิดสร้างสรรค์ และการลงทุนออนไลน์ ยังคงถูกอิทธิพลของการซื้อขายในระบบเก่าครอบงำอยู่
สำนักข่าว U.S. News ของสหรัฐฯ รายงานด้วยว่า กำลังการซื้อของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ ต่อแน้วโน้มเศรษฐกิจที่กระเตื้องขึ้น เช่นกัน
โดยกำลังซื้อของกลุ่มคนรุ่นใหม่นี้ ถูกเรียกว่า ลูกค้ากลุ่ม Millennial หรือ คนที่มีอายุตั้งแต่ 18-34 ปี จัดอยู่ในกลุ่ม Gen Y (เกิดอยู่ในช่วงปี 2523 - 2539) ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก ของแบรนด์สินค้าในปัจจุบัน แต่ยังเป็นกลุ่มที่เข้าถึงได้ยาก เนื่องจากคนกลุ่มนี้ เติบโตมาพร้อมกับการพัฒนาของสื่อออนไลน์ และเทคโนโลยี ทำให้ต้องเฟ้นหากลยุทธ์ใหม่ๆ จากช่องทางสื่อในยุคปัจจุบัน เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้อยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญคือ ส่วนใหญ่ไม่มีแนวคิด Brand Loyalty แต่ชอบทดลองสินค้าใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ ทำให้ยอดขายของสินค้า ไม่มีความคงที่
และสำหรับที่จีน ปัจจุบันพบว่า ลูกค้ากลุ่ม Millennial เข้ามามีบทบาทต่อสินค้ากลุ่ม luxury (สินค้าประเภทฟุ่มเฟือย) มากขึ้น ทำให้เมื่อปีที่ผ่านมา กลุ่มสินค้า Hi-end ประเภทเครื่องสำอางค์ และกระเป๋า มีการเติบโตสูงสุดในรอบกว่า 50 ปี จนมียอดขายสูงกว่าถึง 2 หมื่น 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ ($22.07 billion) ซึ่งส่วนหนึ่งมาจาก นโยบายปราบปรามคอร์รัปชัน รวมถึง สินค้าลอกเลียนแบบ ของภาครัฐด้วย ทำให้ผู้ซื้อรุ่นใหม่ มองว่า สินค้าลิขสิทธิ์ มีคุณค่าในการครอบครองมากกว่า
ซึ่งสะท้อนแนวโน้มว่า ปี 2561 นี้ สินค้าหลายแบรนด์ดังในยุโรป จะมีโอกาสจะได้กอบโกยกำไรในตลาดจีนเพิ่มขึ้นอีก โดยทำให้หลายแบรนด์เกิดการแข่งขัน เพื่อจูงใจลูกค้ากลุ่ม Millennial มากขึ้นด้วย