อนาคต"สิงคโปร์"จะมีรถพลังงานไฟฟ้า 50%
เรื่องของรถไฟฟ้า ปฏิเสธไม่ได้ว่าอนาคตประเทศส่วนใหญ่ของโลก โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้ว จะหันมาใช้มากจนเป็นพาหนะส่วนใหญ่บนท้องถนน เพราะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่วนในอาเซียน ชาติที่ประกาศตัวชัดเจนที่สุดคือสิงคโปร์ ที่รัฐบาลทุ่มงบประมาณทำการศึกษา และประกาศเป็นแผนงาน พร้อมกำหนดเป้าหมายอีก 34 ปี จะมีผู้ใช้รถไฟฟ้า ถึง 50%
ในขณะที่เมืองไทยกำลังจะตั้งไข่เรื่องรถพลังงานไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle แต่สิงคโปร์ ประกาศนโยบายและทิศทางการศึกษา การใช้งานรถพลังงานไฟฟ้าของประชากรในประเทศ โดยมหาวิทยาลัย นันยาง เทคโนโลยี ทำการศึกษา ชี้ว่าในปี 2050 หรือ พ.ศ.2593 คาดว่าประชากรไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 จนถึงครึ่งหนึ่งของประเทศ จะหันไปใช้รถไฟฟ้า แทนรถที่ใช้พลังงานน้ำมัน
ซึ่งในเวทีประชุมนวัตกรรมพลังงานของมูลนิธิวิจัยแห่งชาติสิงคโปร์ มีการแสดงวิสัยทัศน์นี้ ว่าความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค จะช่วยลดมลพิษที่ถูกปล่อยจากการเผาผลาญเชื้อเพลิงภาคการขนส่งถึง 30%
กระทรวงคมนาคมทางบก หรือ LTA จัดทำโร้ดแม็ป เรื่องนี้ ร่วมกับมหาวิทยาลัยนันยาง หรือ NTU ครอบคลุมทุกด้าน ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีปัจจุบัน การระบุงานวิจัย พร้อมทำข้อเสนอแนวทางนโยบายต่อรัฐบาล
เบื้องต้นรถสาธารณะอย่างแท็กซี่ที่มีจำนวน 3% และรถเมล์ที่มี 2% บนท้องถนนสิงคโปร์ อยู่ในข่ายที่จะเปลี่ยนไปใช้เป็นรถพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด เนื่องจากสะดวกเรื่องของพื้นที่อู่ให้บริการมีอยู่แล้ว การเพิ่มจุดจ่ายไฟไม่เปลืองพื้นที่มาก รวมทั้งการบำรุงรักษา ซึ่งเมื่อมีการใช้งานที่แพร่หลายแล้ว ต้นทุนราคาโครงสร้างพื้นฐานทั่วไปจะถูกลง และใช้เวลาคุ้มทุนไม่นาน อันถือเป็นสิ่งจูงใจให้เอกชนเข้ามาร่วมทำธุรกิจ
ปัจจุบัน สิงคโปร์ มีจุดจ่ายไฟสำหรับรถพลังงานไฟฟ้า และที่เป็นระบบปลั๊กอินไฮบริดแล้ว 120 จุด เมื่อมีการพัฒนาเทคโนโลยี ราคาอุปกรณ์สำคัญอย่างแบตเตอรี่ก็จะถูกลง คาดว่าอีก 5 ปี ราคาจะปรับลดลงถึง 30% จากปัจจุบัน รวมทั้งระยะเวลาที่ชาร์จไฟจะเร็วกว่าปัจจุบันที่ต้องชาร์จนาน 8 ชั่วโมง
อาจารย์จากมหาวิทยาลัย NTU ชี้ว่าการผลักดันจากภาครัฐสำคัญที่สุดที่จะทำให้ราคาถูกและแพร่หลาย โดยอาจลดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน มาตรการเก็บภาษี รวมทั้งนโยบายที่ระบุในโร้ดแม็ปแล้ว เรื่องจำกัดการใช้พลังงานพอเพียง ในภาคอุตสาหกรรม และการกำจัดขยะ
นอกจากนี้ อีกโครงการที่กระตุ้นการใช้รถยนต์ไฟฟ้า คือการนำรถมาให้บริการกึ่งสาธารณะ หรือคาร์แชริ่ง ให้คนทั่วไปใช้บริการโดยสมัครสมาชิก ขับรถของบริษัท บลูเอสจี จากจุดหนึ่งไปยังปลายทางที่ต้องการ ซึ่งจะมีสถานีปลายทาง และสมาชิกรายอื่นสามารถนำไปใช้ต่อได้ โดยใช้วิธีจองรถผ่านแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน ซึงเป็นรูปแบบที่หลายเมืองใหญ่มีใช้แล้ว อาทิ ปารีส บอร์กโดซ์ อินเดียนาโปลิส
กระทรวงคมนาคมสิงคโปร์ ตั้งเป้าว่าภายใน 4 ปีนี้ จะมีรถยนต์ไฟฟ้าให้ใช้ถึง 1 หมื่นคัน พร้อมกับจุดชาร์จไฟ 2 พันแห่ง